Part Time Musicians วงดีที่เราคิดถึง
แม้จะประกาศพักวงกันไปแล้วปีกว่าๆ แต่ทุกวันนี้บทเพลงต่างๆ ของ Part Time Musicians ก็ยังเป็นท่วงทำนองที่หลายๆ คนคิดถึง และคาดหวังให้พวกเขากลับมารวมตัวสร้างสรรค์บทเพลงกันอีกครั้ง

Part Time Musicians เป็นการรวมตัวของคนรุ่นใหม่ 6 คนเพื่อมาทำเพลงยุคเก่า (ฟีลประมาณยุค 60’s) ซึ่งก็มีดีกรีไม่ธรรมดาเพราะซิงเกิ้ลแรกของวง “Vacation Time” ติด Top 40 ของ Fat Radio และสามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 1 ของชาร์ตได้ แถมซิงเกิ้ลนี้ยังถูกเอาไปดัดแปลงแล้วประกอบหนัง “ฟรีแลนซ์...ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” อีกด้วย ซึ่งเจ้าซิงเกิ้ลนี้ก็มีให้ฟังในJooxด้วยนะครับ เป็นเพลงที่ฟีลแฮปปี้เหมาะกับการฟังเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดจริง ๆ

เท่านั้นยังไม่พอซิงเกิลที่ 2 “Would You Mind?” ซิงเกิ้ลนี้ ถูกปล่อยมาช่วงกลางเดือนมิถุนายนโดยทำร่วมกับวงรุ่นพี่อย่าง Chladni Chandi ทำให้เพลงนี้มีความหลากหลายของซาวน์และเทคนิคอย่างมากจนจนได้ขึ้นอันดับ 1 ของ Fat Radio ได้อีกครั้งในเดือนกันยายน
และในซิงเกิลที่ 3 “The Haunted House” ก็ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของวงที่ความสดใสแบบที่ปรากฏในเพลง Vacation time หายไป แต่ที่มาแทนคือความลึกล้ำซับซ้อนของภาคดนตรีและบรรยากาศเพลงที่อบอวลไปด้วยความโศกเศร้าปนความสวยงาม
แต่สำหรับเพลงที่เราติดใจ และอยากแนะนำมากเป็นพิเศษคือเพลงนี้เลยครับ “Message in the bottle” แม้เพลงนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่เพลงนี้ก็ไม่เหมือนเพลงอกหักทั่วไปนะครับ ทั้งในด้านการเรียบเรียง เนื้อหา บรรยากาศของเพลง การเล่าเรื่องใน MV
MV เพลง Message in the bottle นี่ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก ๆ ครับ ใช้การเล่าเรื่องแบบที่ผมไม่เคยเห็นใน MV ใด ๆ มาก่อนมีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายทอดอารมณ์เศร้า โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา สิ้นหวัง ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ดูกี่ทีก็อดสะเทือนใจไม่ได้ และเพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชม MV นี้ ผมจึงเลือกลงแค่ภาพบางส่วนของMVซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งงงว่าสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันเลยเหล่านี้ (เมรุ, กาลครั้งหนึ่งใต้ทะเลลึก, โต๊ะเรียนที่ถูกลิควิดเขียน, และของชำร่วยงานแต่ง) มันมาอยู่ในMVเดียวกันได้ยังไง? เพื่อให้ผู้อ่านได้ไปติดตามดู MV ตัวเต็มด้วยตัวเอง บอกเลยว่าตราตรึงใจมากจริง ๆ

Let the waves carry it to you
(ฝากคลื่นลมช่วยพัดพามันไปสู่เธอ)
Let the seagulls lead the way through
(และให้นกนางนวลช่วยนำทางไป)
If these words are gonna hurt you
(หากถ้อยคำนี้ทำให้เธอต้องเสียใจ)
Let it drown in the ocean blue
(ก็จงปล่อยมันให้จมหายไปในทะเลสีคราม)
ท่อนแรกเปิดมาด้วยเสียงร้องประสานชาย-หญิงพร้อมด้วยเมโลดี้การร้องอันเป็นลายเซ็นของวง เป็นการเริ่มเพลงด้วยเสียงร้องที่อลังการบวกกับการเลือกใช้คำที่ทำได้อย่างปราณีตงดงามที่ฟังทีไรก็อดขนลุกไม่ได้ทุกที มันเป็นความรู้สึกอ้างว้างเหมือนทอดสายตาไปยังท้องทะเลที่กว้างไกล เรากำลังมองหาอะไรอยู่รึเปล่า หรือ เราพอใจเพียงแค่ได้มองความเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุดนั้น

“Dear the one in my dreams
who I never forget
I have a secret
which is hard to confess
If I just keep it to myself
I know I must regret”
ผู้แต่งได้พรรณนาถึงความลับในใจบางอย่างที่อยากจะบอกกับคนคนนึงซึ่งเป็นคนที่ตราตรึงในห้วงคำนึงของเขามาเนิ่นนาน เขารู้ว่าถ้าเขายังเก็บซ่อนความลับนี้เอาไว้ วันนึงเขาจะต้องรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกออกไป (ในท่อนนี้เป็นเสียงผู้หญิงร้องเดี่ยวซึ่งสามารถดึงอารมณ์ผู้ฟังให้เคลิ้มตามได้ไม่ยากด้วยทักษะการร้องและเมโลดี้ที่เรียบเรียงได้สวยงามมาก)
“So I write this message for you”
ดังนั้นเขาจึงเขียนข้อความนี้ (ข้อความในขวดแก้ว) เพื่อส่งไปยังใครคนนั้น...
“Let the waves carry it to you...”
ท่อนฮุคซึ่งเป็นท่อนเดียวกันกับท่อนเริ่มเพลงบรรเลงขึ้นมา เคล้าไปกับเสียงเชลโล่ที่เพิ่มมิติของเพลงให้มีความลึกขึ้น ถือว่าเป็นวงไทยไม่กี่วงที่นำเครื่องดนตรีบางชิ้นจากออเคสตร้ามาเล่นแบบไม่ยกมาทั้งวง ซึ่งการเลือกมาเพียงบางชิ้นทำให้บทบาทของเครื่องออเคสตร้าในเพลงไม่ได้เป็นเพียงเสียงประกอบที่เป็นพื้นหลัง แต่โดดเด่นขึ้นมาบนเพลงเหมือนกำลังร่ายรำให้เรารับชมยังไงยังงั้น

“It is time to release the butterflies from my chest
Find something that can guide me
to get me out of this maze
Try to follow my heart
Try not to follow my head”
เขาตัดสินใจว่าได้เวลาแล้ว ที่จะบอกความในใจออกมา
พยายามหาบางสิ่ง ที่จะสามารถพาเขาออกจากเขาวงกตนี้ได้
พยายามจะเดินตามทางที่หัวใจบอก และพยายามไม่คิดมาก
“So I write this message for you”
ดังนั้นเขาจึงเขียนข้อความนี้ (ข้อความในขวดแก้ว) เพื่อส่งไปยังใครคนนั้น...
ในท่อนนี้จะสลับจากผู้หญิงร้องเดี่ยวเป็นผู้ชายร้องเดี่ยวแทน ซึ่งก็ทำได้ดีไม่แพ้กันและยังช่วยเพิ่มความหลากหลายของมิติในเพลงได้เป็นอย่างดีด้วย
เพลงดำเนินเข้าสู่ท่อนฮุคและเดินทางเข้าช่วง Solo เครื่องออเคสตร้า ที่ให้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยว อ้างว้างประดุจดั่งดำดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทรที่ลึกสุดหยั่งถึง อารมณ์ของเพลงเพิ่มความเข้มข้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วส่งต่อไปยังท่อนฮุครอบสุดท้ายของเพลง
Even It was too late, my feelings will never fade
(แม้ว่ามันจะสายเกินไป แต่ความรู้สึกของฉันก็จะไม่มีวันจางหายไป)
เป็นการจบเพลงด้วยความอ้างว้างสิ้นหวังได้อย่างสวยงาม

นี่แหละครับ Message in the bottle เพลงที่ไม่ใช่แค่สื่อถึงความรู้สึกผิดหวังในความรัก หากแต่จะเป็นความรู้สึกเคว้งคว้าง อ้างว้างผสมปนเปกันอยู่ด้วย
ถ้าเปรียบเทียบเป็นสถานการณ์จริงให้เห็นภาพ มันไม่ใช่การไปจีบใครคนนึงแล้วถูกปฏิเสธ แต่เป็นการแอบชอบใครคนนึงมานานแสนนานโดยไม่ได้เผยความในใจออกไป เราได้แต่เฝ้าดูเขาเติบโตขึ้น แต่งงาน มีชีวิตที่มีความสุข โดยเราทำได้แค่เพียงมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น และตัวเราเองก็รู้ดีว่าเราไม่มีวันได้ไปยืนเคียงข้างเขาอย่างแน่นอนตราบจนวันสิ้นชีวิต ความหวังของเราถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนความโศกเศร้ากลายเป็นส่วนนึงของชีวิตในแต่ละวันของเราไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้จึงมีแค่เพียงได้บอกความในใจออกไป แม้รู้ดีว่าสายเกินไปแล้ว ที่จะพูดมันออกมา
ถ้าเรียกแบบง่าย ๆ ผมอยากเรียกว่าเพลงนี้เป็นเพลงแบบ “ผู้ใหญ่อกหัก” ที่จะไม่เหมือนวัยรุ่นอกหักที่เราคุ้นชินกัน มันเข้มข้นหนักหน่วงโหดร้ายและบาดลึกอย่างมาก แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ที่เคยมีฟีลอกหักกันมาก่อนก็อาจนึกถึงวันคืนเหล่านั้นเพื่อจะได้ดื่มด่ำกับความเศร้าที่สวยงามของเพลง ๆ นี้ได้
ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับเสียงเพลงครับ เจอกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก FB: Part Time Musicians
