จาก One Direction สู่ก้าวที่แตกต่างของ Harry Styles

หากพูดถึงความสำเร็จของ One Direction พวกเขาคือ...
วงที่ทำยอดขายอัลบั้มสูงทั่วโลกเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก
วงที่ยอดวิวในช่องออฟฟิศเชียลสูงติด Top 10 ของโลก
วงที่มียอดติดตามในโซเชียลมีเดียติด Top 10 ของโลก
พวกเขาคือวงที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับโลกดนตรีในหลาย ๆ อย่าง
แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่สมาชิกของวงตั้งคำถามถึงการทำงานที่แตกต่าง ดูเหมือน Harry Styles จะสร้างแนวดนตรีและเส้นทางที่ฉีกและแหวกจากเมื่อครั้งทำงานวงเป็นอย่างมาก ในบทความนี้เราจึงมาร่วมค้นหาคำตอบกันว่า เพราะเหตุใดหรือเพราะสิ่งใดที่หลอมรวมเขาให้มาถึงจุดนี้ได้กันแน่

แรงบันดาลใจเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น
Harry Styles เกิดและเติบโตมาในประเทศอังกฤษ ครอบครัวของเขาทำงานในแวดวงธุรกิจ โดยที่เมื่อครั้งยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่น ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาก็คือ Freddie Mercury, Elvis Presley และ The Beatles ซึ่งเป็นศิลปินในตำนานของคนทั่วโลก และในช่วงเวลาที่เขายังเป็นวัยรุ่นนี้เอง เขาก็ได้เป็นนักร้องนำให้กับวงที่ฟอร์มขึ้นในโรงเรียนอย่างวง White Eskimo อีกด้วย
จากการที่รักและชอบในการทำงานดนตรี ทำให้ในปี 2010 เขาได้เข้าร่วมออดิชั่นกับรายการชื่อดังของอังกฤษอย่างรายการ The X Factor ซึ่งเป็นรายการล่าฝันของคนหลากหลายวัยเพื่อจะเข้ามาเป็นนักร้องระดับโลก จากการแข่งขันทำให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งกับวงบอยแบนด์ที่โด่งดังแห่งทศวรรษอย่างวง One Direction ซึ่งเป็นวงที่ทำลายหลายสถิติของบอยแบนด์ระดับโลก ทั้งสถิติทัวร์คอนเสิร์ต สถิติค่าตัวที่แพงติดอันดับโลก สถิติหนุ่มสุดร้อนแรงจากการจัดอันดับของวัยรุ่นหญิงทั่วโลก และสถิติยอดจำหน่ายที่ติดอันดับทั้งในประเทศบ้านเกิดอย่างอังกฤษและในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
เรียกได้ว่าเมื่อเอ่ยชื่อ One Direction เชื่อเถอะว่าไม่มีใครไม่รู้จัก และชื่อของ Harry Styles ก็จะเป็นชื่อแรก ๆ ในวงที่ทุกคนกล่าวถึง หนุ่มเซอร์ผมยาวที่มีใบหน้าหล่อเหลา ประกอบกับภาพลักษณ์ขบถอยู่พอสมควร ทำให้ชื่อของเขาเป็นชื่อที่ติดอันดับโพลหนุ่มฮอตมากมาย และจากเสน่ห์ที่ร้อนแรง ทำให้ตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของวงชื่อดังแห่งยุค เขามีข่าวกับสาว ๆ มากหน้าหลายตาซึ่งมีดีกรีระดับนักร้องหรือนางแบบชื่อดังทั้งนั้น

นักร้องนักแต่งเพลง
เห็นหน้าตามีเสน่ห์และคุณสมบัติทางด้านรูปลักษณ์ครบเครื่องขนาดนี้ ทำให้หลายต่อหลายคนจึงมองข้ามความสามารถของหนุ่มคนนี้กันไป จึงมีน้อยคนนักที่ทราบว่าหนุ่ม Harry มีศักยภาพด้านการแต่งเพลงอย่างเหลือล้น
ตั้งแต่เริ่มทำงานในเส้นทางดนตรีกับวง One Direction หนุ่ม Harry ก็ได้โชว์ฝีไม้ลายมือในฐานะนักแต่งเพลงมาหลายต่อหลายเพลง เช่น Taken, Everything About You จากอัลบั้ม Up All Night ในปี 2011 รวมถึงเพลง They Don't Know About Us, Summer Love จากอัลบั้ม Take Me Home ในปี 2012
นอกจากนี้ พ่อหนุ่มคนนี้ยังข้ามขั้นไปร่วมแต่งเพลงให้กับศิลปินดังคนอื่นอีกมากมาย เช่น การร่วมแต่งเพลงให้กับ Ariana Grande ในเพลง Just a Little Bit of Your Heart และร่วมแต่งเพลงให้กับ Michael Bublé ในเพลง Someday
จะได้เห็นว่า ท่ามกลางภาพลักษณ์ของวงและการทำงานในวงการดนตรีที่กำหนดขอบเขตให้กับเขาอย่างมากมาย ทำให้หลายต่อหลายคนรวมทั้งสื่อมวลชนได้ละเลยและไม่สามารถก้าวข้ามภาพลักษณ์ภายนอกของเขาไปสู่ศักยภาพที่แท้จริงที่เขาบ่มเพาะผ่านเรื่องราวในชีวิต การได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เก่งๆ เป็นเครื่องกล่อมเกลาวิธีคิดและตัวตนของเขา จนมันสำแดงออกมาเมื่อเขาได้ทำงานเดี่ยวของตัวเองในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงที่กล้าหาญ
จากความสำเร็จของวงทั้งในแง่ยอดขาย จำนวนแฟนคลับ รอบคอนเสิร์ตที่มากมายมหาศาล อยู่มาวันหนึ่งในปี 2016 ทางต้นสังกัดก็ได้แจ้งกับสื่อมวลชนและแฟนเพลงว่า หนุ่ม ๆ จะพักการทำงานของวงเพื่อเลือกเส้นทางในวงการดนตรีที่แตกต่าง
หนุ่ม Harry ได้เซ็นสัญญาเพื่อทำผลงานเดี่ยวกับค่าย Columbia Records ซึ่งเป็นต้นสังกัดของนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังของโลกเป็นจำนวนมาก เช่น Johnny McDaid จาก Snow Patrol และ Ryan Tedder จาก OneRepublic
ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2017 ทางต้นสังกัดได้ปล่อยอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของเขาให้แฟนๆทั่วโลกได้ฟัง สิ่งที่น่าสนใจสำหรับอัลบั้มโซโล่แรกของหนุ่มคนนี้ก็คืองานในภาคดนตรี จากนักร้องเพลง Pop ที่มีแฟนเพลงจำนวนหลายล้านคน สู่นักร้องเดี่ยวที่สร้างผลงานสไตล์ Modern Rock ที่ผสมผสานความเป็น Folk ออกมาได้อย่างน่าสนใจ
Sign of the Times เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเพลงเป็นอย่างมาก ลูกเล่นสไตล์ psychedelic soul, indie rock และ spacey pop ถูกนำมาใช้อย่างถึงเครื่อง และเมื่อเราค่อย ๆ ละเลียดเพลงไปเรื่อย ๆ มันได้สร้างบรรยากาศของ Rock สไตล์ดั้งเดิมของอังกฤษให้กลับคืนมา ส่งผลให้เมื่อเพลงนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่อังกฤษ มันสามารถคว้าอันดับ 1 ชาร์ตเพลงของอังกฤษมาครอบครอง เรียกได้ว่าเป็นเพลงเปิดตัวที่ทำให้คนอีกหลายคนที่เคยปรามาสพ่อหนุ่มคนนี้เอาไว้ต้องย้อนกลับไปทบทวนความคิดของตนเองเสียใหม่

นอกจากเพลงเปิดตัวอย่าง Sign of the Times เพลงในอัลบั้มยังอัดแน่นไปด้วยเพลงไพเราะอีกมากมาย เช่น Two Ghosts ที่เป็นเพลงสไตล์ Soft Rock โดยเนื้อเพลงได้สร้างปรัชญาความรักที่แสนจะร่วมสมัยขึ้นมาอีกบทเพลงหนึ่ง
ต่อกันด้วยเพลง Meet Me in the Hallway ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นเพลงในสไตล์ Indie Rock ที่ผสมผสานความเป็น Folk ได้อย่างลงตัว พร้อมกับบรรยากาศในเพลงที่ราวกับล่องลอยอยู่บนอวกาศ ใช้ลูกเล่นสไตล์ Psychedelic Rock ได้อย่างมีเสน่ห์เหลือร้าย ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่น่าจะถูกใจสาวกเพลงในแนว Indie Rock มากเพลงหนึ่ง
ส่วนเพลง Sweet Creature ก็เป็นเพลงชิ้นเอกของอัลบั้มนี้อีกเพลง มันเป็นเพลงรักที่งดงามเพลงหนึ่งจากชายหนุ่มมาดเซอร์คนนี้ และเมื่อบวกเข้ากับสไตล์เพลงในแนว Folk ที่ใช้ลูกเล่นง่าย ๆ อย่างกีต้าร์โปร่งเพียงตัวเดียวนำทาง มันก็ได้ทำให้เพลงที่แสนเรียบง่ายเพลงนี้ ไพเราะและควรค่าแก่การส่งต่อถึงคนที่คุณรักเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า มีศิลปินมากมายบนโลกใบนี้ ได้ถูกมองข้ามและถูกตีกรอบให้อยู่กับภาพลักษณ์ภายนอกอยู่ตลอดเวลา และศิลปินหน้าตาดีเหล่านั้นต่างก็ต้องใช้เวลาและการบ่มเพาะที่ต้องใช้ระยะเวลาอยู่พอสมควรถึงจะสามารถทำลายกรอบและวิธีคิดของคนฟังเพลงอีกจำนวนมาก ว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรือรูปลักษณ์ แต่ภายในจิตใจและหัวสมองของเขา ต่างก็ซ่อนความสามารถและความหลงใหลในเส้นทางสายดนตรีอยู่มากทีเดียว หนุ่ม Harry ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่เคยโดนคำครหาต่างๆ แต่มาในวันนี้เขาได้สร้างและแสดงให้พวกเราเห็นถึงตัวตนข้างใน วิธีคิดที่ลึกซึ้ง จนทำให้วงการและอุตสาหกรรมดนตรีได้ค้นพบอีกนักร้องหนุ่มที่น่าจับตามอง และเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักร้องที่หลายต่อหลายคนต่างรอคอยผลงานในอัลบั้มต่อไปของเขาอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณภาพจาก FB/onedirectionmusic และ harrystyles
